พระประวัติสมเด็จพระญาณสังวรฯ

  • พิมพ์

พระประวัติ

สมเด็จพระญาณสังวร

สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

( เจริญ สุวฑฺฒโน คชวัตร)

                เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (สุวัฑฒนมหาเถระ) มีพระนามเดิมว่า เจริญ นามสกุล คชวัตร ทรงมีพระชาติภูมิ ณ จังหวัดกาญจนบุรี เมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๔๕๖ ทรงบรรพชาเป็นสามเณรเมื่อพระชนมายุ ๑๔ พรรษา ณ วัดเทวสังฆาราม กาญจนบุรี แล้วเข้ามาอยู่ศึกษาพระปริยัติธรรม ณ วัดบวรนิเวศวิหาร จนพระชนมายุครบอุปสมบท และทรงอุปสมบท ณ วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๔๗๖ โดยมี สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวง วชิรญาณวงศ์ ทรงเป็นพระอุปัชฌาย์ ได้ประทับอยู่ศึกษา ณ วัดบวรนิเวศวิหาร ตลอดมาจนกระทั่งสอบได้เป็นเปรียญธรรม ๙ ประโยค เมื่อ พุทธศักราช ๒๔๘๔

                เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร ทรงดารงสมณศักดิ์มาโดยลาดับดังนี้ ทรงเป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ พระราชาคณะชั้นราช และพระราชาคณะชั้นเทพ ในราชทินนามที่ พระโศภณคณาภรณ์ ทรงเป็นพระราชาคณะชั้นธรรมที่ พระธรรมวราภรณ์ ทรงเป็นพระราชาคณะชั้นเจ้าคณะรองที่ พระสาสนโสภณ ทรงเป็นสมเด็จพระราชาคณะที่ สมเด็จพระญาณสังวร และทรงได้รับพระราชทานสถาปนาเป็น สมเด็จพระสังฆราช ในราชทินนามที่ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๓๒ นับเป็นสมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ ๑๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์

                เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร ทรงเป็นผู้ใคร่ในการศึกษา ทรงมีพระอัธยาศัยใฝ่รู้ใฝ่เรียนมาตั้งแต่ทรงเป็นพระเปรียญ โดยเฉพาะในด้านภาษา ทรงศึกษาภาษาต่าง ๆ เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน จีน และ สันสกฤต จนสามารถใช้ประโยชน์ได้เป็นอย่างดี กระทั่งเจ้าพระคุณสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวง วชิรญาณวงศ์ พระอุปัชฌาย์ของพระองค์ทรงเห็นว่า จะเพลินในการศึกษามากไป วันหนึ่งทรงเตือนว่า ควรทากรรมฐานเสียบ้าง เป็นเหตุให้พระองค์ทรงเริ่มทากรรมฐานมาแต่บัดนั้น และทาตลอดมาอย่างต่อเนื่อง จึงทรงเป็นพระมหาเถระที่ทรงภูมิธรรมทั้งด้านปริยัติและด้านปฏิบัติ เนื่องจากทรงรอบรู้ภาษาต่างประเทศ โดยเฉพาะภาษาอังกฤษเป็นอย่างดี จึงทรงศึกษาหาความรู้สมัยใหม่ด้วยการอ่านหนังสือภาษาอังกฤษ ทั้งทางคดีโลกและคดีธรรม เป็นเหตุให้ทรงมีทัศนะกว้างขวาง ทันต่อเหตุการณ์บ้านเมือง ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการสั่งสอนและเผยแผ่พระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก เป็นเหตุให้ทรงนิพนธ์หนังสือทางพระพุทธศาสนาได้อย่างสมสมัย เหมาะแก่บุคคลและสถานการณ์ในยุคปัจจุบัน และทรงสั่งสอนพระพุทธศาสนาทั้งแก่ชาวไทยและชาวต่างประเทศ

                ในด้านการศึกษา ได้ทรงมีพระดำริทางการศึกษาที่กว้างไกล ทรงมีส่วนร่วมในการก่อตั้งมหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนาแห่งแรกของไทย คือมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยมาแต่ต้น ทรงริเริ่มให้มีสานักฝึกอบรมพระธรรมทูตไปต่างประเทศขึ้นเป็นครั้งแรก เพื่อฝึกอบรมพระธรรมทูตไทยที่จะไปปฏิบัติศาสนกิจในต่างประเทศ

                ทรงเป็นพระมหาเถระไทยรูปแรกที่ได้ดาเนินงานพระธรรมทูตในต่างประเทศอย่างเป็นรูปธรรม โดยเริ่มจากทรงเป็นประธานกรรมการอานวยการสานักฝึกอบรมพระธรรมทูตไปต่างประเทศเป็นรูปแรก เสด็จไปเป็นประธานสงฆ์ในพิธีเปิดวัดไทยแห่งแรกในทวีปยุโรป คือวัดพุทธปทีป ณ กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร ทรงนาพระพุทธศาสนาเถรวาทไปสู่ทวีปออสเตรเลียเป็นครั้งแรก โดยการสร้างวัดพุทธรังษีขึ้น ณ นครซิดนีย์ ทรงให้กาเนิดคณะสงฆ์เถรวาทขึ้นในประเทศอินโดนีเซีย ทรงช่วยฟื้นฟูพระพุทธศาสนาเถรวาทในประเทศเนปาล โดยเสด็จไปให้การบรรพชาแก่ศากยะกุลบุตรในประเทศเนปาลเป็นครั้งแรก ทาให้ประเพณีการบวชฟื้นตัวขึ้นอีกครั้งหนึ่งในเนปาลยุคปัจจุบัน ทรงเจริญศาสนไมตรีกับองค์ดาไล ลามะ กระทั่งเป็นที่ทรงคุ้นเคยและได้วิสาสะกันหลายครั้ง และทรงเป็นพระประมุขแห่งศาสนจักรพระองค์แรกที่ได้รับทูลเชิญให้เสด็จเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างเป็นทางการในประวัติศาสตร์จีน

                เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร ทรงปฏิบัติพระกรณียกิจทั้งภายในประเทศและต่างประเทศเป็นเอนกประการ ทรงเป็นนักวิชาการและนักวิเคราะห์ธรรมตามหลักการของพระพุทธศาสนา ที่เรียกว่า ธัมมวิจยะ หรือธัมมวิจัย เพื่อแสดงให้เห็นว่า พุทธธรรมนั้นสามารถประยุกต์ใช้กับกิจกรรมของชีวิตได้ทุกระดับ ตั้งแต่ระดับพื้นฐานไปจนถึงระดับสูงสุด ทรงมีผลงานด้านพระนิพนธ์ทั้งที่เป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษจานวนกว่า ๑๐๐ เรื่อง ประกอบด้วยพระนิพนธ์แสดงคาสอนทางพระพุทธศาสนาทั้งระดับต้น ระดับกลาง และระดับสูง รวมถึงความเรียงเชิงศาสนคดีอีกจานวนมาก ซึ่งล้วนมีคุณค่าควรแก่การศึกษา สถาบันการศึกษาของชาติหลายแห่งตระหนักถึงพระปรีชาสามารถและคุณค่าแห่งงานพระนิพนธ์ ตลอดถึงพระกรณียกิจที่ทรงปฏิบัติ จึงได้ทูลถวายปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์เป็นการเทิดพระเกียรติหลายสาขา

นอกจากพระกรณียกิจตามหน้าที่ตาแหน่งแล้ว เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร ยังได้ทรงปฏิบัติหน้าที่พิเศษ อันมีความสาคัญยิ่งอีกหลายวาระ กล่าวคือ ทรงเป็นพระอภิบาลในพระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน เมื่อครั้งเสด็จออกทรงพระผนวช เมื่อพุทธศักราช ๒๔๙๙ พร้อมทั้งทรงถวายความรู้ในพระธรรมวินัยตลอดระยะเวลาแห่งการทรงพระผนวช ทรงเป็นพระราชกรรมวาจาจารย์ ในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ์ สยามมกุฎราชกุมาร เมื่อครั้งเสด็จออกทรงพระผนวชเป็นพระภิกษุ เมื่อพุทธศักราช ๒๕๒๑

                เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร ทรงดำรงตำแหน่งหน้าที่สาคัญทางการคณะสงฆ์ในด้านต่าง ๆ มาเป็นลาดับ เป็นเหตุให้ทรงปฏิบัติพระกรณียกิจเป็นประโยชน์ต่อพระศาสนา ประเทศชาติ และประชาชน เป็นเอนกประการ นับได้ว่าทรงเป็นพระมหาเถระที่ทรงเพียบพร้อมด้วยอัตตสมบัติและปรหิตปฏิบัติ และทรงเป็นครุฐานียบุคคลของชาติ ทั้งในด้านพุทธจักรและอาณาจักรเจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร ทรงเป็นที่เคารพสักการะตลอดไปถึงพุทธศาสนิกชนในนานาประเทศ ด้วยเหตุนี้ ทางรัฐบาลสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา จึงได้ทูลถวายตาแหน่ง อภิธชมหารัฐคุรุ อันเป็นสมณศักดิ์สูงสุดแห่งคณะสงฆ์เมียนมา และที่ประชุมผู้นาสูงสุดแห่งพุทธศาสนาโลก เมื่อ พ.ศ. ๒๕๕๕ ได้ทูลถวายตาแหน่งผู้นาสูงสุดแห่งพระพุทธศาสนาโลก

พระชาติภูมิ

                เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (สุวฑฺฒนมหาเถร) เป็นชาวจังหวัดกาญจนบุรี มีพระนามเดิมว่า เจริญ คชวัตร ประสูติเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ.2456 เวลาประมาณ 04.00 น. เศษ (นับอย่างปัจจุบันเป็นวันที่ 4 ตุลาคม) ตรงกับวันศุกร์ ขึ้น 4 ค่ำเดือน 11 ปีฉลู ณ ตำบลบ้านเหนือ อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี พระชนกชื่อ นายน้อย คชวัตร พระชนนีชื่อ นางกิมน้อย คชวัตร 
       บรรพชนของเจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ มีประวัติความเป็นมาน่าสนใจ เพราะมาจาก 4 ทิศทาง กล่าวคือ พระชนกมีเชื้อสายมาจากกรุงเก่าทางหนึ่ง จากปักษ์ใต้ทางหนึ่ง ส่วนพระชนนีมี เชื้อสายมาจากญวนทางหนึ่ง จากจีนทางหนึ่ง

นายน้อย  คชวัตร

พระชนกของสมเด็จพระสังฆราช

(ถึงแก่กรรม พ.ศ.2465)
       นายน้อย คชวัตร เป็นบุตรนายเล็กและนางแดงอิ่ม เป็นหลานปู่หลานย่าของหลวงพิพิธภักดี และนางจีน หลวงพิพิธภักดีนั้นเป็นชาวกรุงเก่าเข้ามารับราชการในกรุงเทพ ฯ ได้ออกไปเป็นผู้ช่วย ราชการอยู่ที่เมืองไชยาคราวหนึ่ง และเป็นผู้หนึ่ง ที่พระบาทสมเด็จ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3

                ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ไปคุมเชลยศึก ที่เมืองพระตะบอง คราวหนึ่ง หลวงพิพิธภักดีได้ภรรยาเป็นชาวไชยา 2 คนชื่อทับคนหนึ่ง ชื่อนุ่นคนหนึ่ง และได้ภรรยาเป็นชาวพุมเรียงอีกคนหนึ่งชื่อแต้ม ต่อมา เมื่อครั้งพวกแขกยกเข้าตีเมืองตรัง เมืองสงขลาของไทย เมื่อ พ.ศ. 2381 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้พระยาศรีพิพัฒน์ (ทัด ซึ่งต่อมาได้เป็นที่ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติในรัชกาลที่ 4)เป็นแม่ทัพยกออกไปปราบปราม หลวงพิพิธภักดีได้ไปในราชการทัพครั้งนั้นด้วย และไปได้ภรรยาอีกหนึ่งชื่อจีน ซึ่งเป็นธิดาของพระปลัดเมืองตะกั่วทุ่ง (สน)เป็นหลานสาว ของพระตะกั่วทุ่ง หรือพระยาโลหภูมิพิสัย (ขุนดำ ชาวเมืองนครศรีธรรมราช) ต่อมาหลวงพิพิธภักดี ได้พาภรรยาชื่อจีนมาตั้งครอบครัวอยู่ในกรุงเทพ ฯ และได้รับภรรยาเดิมชื่อแต้ม จากพุมเรียงมาอยู่ด้วย (ส่วนภรรยาอีก 2 คนได้ถึงแก่กรรมไปก่อน)
         เวลานั้น พี่ชายของหลวงพิพิธภักดี คือพระยาพิชัยสงคราม เป็นเจ้าเมืองศรีสวัสดิ์กาญจนบุรีและมีอาชื่อ พระยาประสิทธิสงคราม (ขำ) เป็นเจ้าเมืองกาญจนบุรี ต่อมาหลวงพิพิธภักดีลาออกจากราชการและได้พาภรรยาทั้ง 2 คนมาตั้งครอบครัวอยู่ที่เมืองกาญจนบุรี

นางกิมน้อย คชวัตร

พระชนนีของสมเด็จพระสังฆราช

(ถึงแก่กรรม พ.ศ.2508)

         กล่าวกันว่า หลวงพิพิธภักดีนั้นเป็นคนดุ เมื่อเป็นผู้ช่วยราชการอยู่ที่เมืองไชยา เคยเฆี่ยนนักโทษตายทั้งคา เป็นเหตุให้หลวงพิพิธภักดีเกิดสลดใจลาออกจากราชการ แต่บางคนเล่าว่า เหตุที่ทำให้หลวงพิพิธภักดีต้องลาออกจากราชการนั้น ก็เพราะเกิดความเรื่องที่ได้ธิดา พระปลัดเมืองตะกั่วทุ่ง ชื่อจีนมาเป็นภรรยานั่นเอง

                นายน้อย คชวัตร เริ่มรับราชการในตำแหน่งเสมียน แล้วเลื่อนขึ้นเป็นผู้รั้งปลัดขวาแต่ต้องออกจาก ราชการเสียคราวหนึ่ง เพราะป่วยหนัก หลังจากหายป่วยแล้วจึงกลับเข้ารับราชการใหม่ เป็นปลัดขวาอำเภอ วังขนาย กาญจนบุรี ต่อมาได้ย้ายไปเป็นปลัดอำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม เกิดป่วยเป็นโรคเนื้อร้ายงอก จึงกลับมารักษาตัวที่ บ้านกาญจนบุรีและได้ถึงแก่กรรมเมื่อมีอายุเพียง 38 ปี ได้ทิ้งบุตรน้อย ๆ ให้ภรรยาเลี้ยงดู 3 คน คือ
                1. เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช (เจริญ คชวัตร)
                2. นายจำเนียร คชวัตร
                3. นายสมุทร คชวัตร (ถึงแก่กรรมแล้ว)
             สำหรับเจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ นั้น ป้าเฮง ผู้เป็นที่สาวของนางกิมน้อย ได้ขอมาเลี้ยงตั้งแต่ ยังทรงพระเยาว์ และทรงอยู่ในความเลี้ยงดูของป้าเฮงมาตลอดจนกระทั่ง ทรงบรรพชาเป็นสามเณร ป้าเฮ้งได้เลี้ยงดูเจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ ด้วยความถนุถนอมเอาใจเป็นอย่างยิ่งจนพากันเป็นห่วงว่า จะทำให้เสียเด็ก เพราะเลี้ยงแบบตามใจเกินไป

         ชีวิตในปฐมวัยของเจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ นับว่าเป็นสุขและอบอุ่น เพราะมีป้าคอยดูแล เอาใจใส่อย่างถนุถนอม ส่วนที่นับว่าเป็นทุกข์ของชีวิตในวัยนี้ก็คือ ความเจ็บป่วยออดแอดของร่างกาย ในเยาว์วัยเจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ ทรงเจ็บป่วยออดแอดอยู่เสมอ จนคราวหนึ่งทรงป่วยหนักถึงกับ ญาติ ๆพากันคิดว่าคงจะไม่รอดและบนว่าถ้า หายป่วยจะให้บวชแก้บน เรื่องนี้นับเป็นเหตุหนึ่ง ที่ทำให้เจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ ทรงบรรพชาเป็นสามเณรในเวลาต่อมาพระนิสัยของเจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ เมื่อเยาว์วัยนั้น อาจกล่าวได้ว่าเป็นบุพพนิมิตหรือเป็นสิ่งแสดงถึงวิถีชีวิต ในอนาคตของพระองค์ได้อย่างหนึ่ง กล่าวคือ เมื่อทรงพระเยาว์พระนิสัยที่ทรงแสดงออกอยู่เสมอได้แก่การชอบเล่นเป็นพระ หรือเล่นเกี่ยวกับ การประกอบพิธีกรรมทางศาสนา เช่น เล่นสร้างถ้ำก่อเจดีย์ เล่นทอดผ้าป่าทอดกฐิน เล่นทิ้งกระจาด แม้ของเล่นก็ชอบทำของเล่นที่เกี่ยวกับพระเช่น ทำคัมภีร์เทศน์เล็ก ๆ ตาลปัตรเล็ก ๆ (คือพัดยศเล็ก ๆ)พระนิสัยที่แปลกอีกอย่างหนึ่งของเจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ เมื่อเยาว์วัยคือ ทรงชอบเล่นเทียน เนื่องจาก ป้าต้องออกไปทำงานตั้งแต่ยังไม่สว่าง เจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ จึงต้องพลอยตื่นแต่ดึกตาม ป้าด้วยแล้วไม่ยอมนอนต่อ ป้าจึงต้องหาของให้เล่น คือหาเทียนไว้ให้จุดเล่น เจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ ก็จะจุดเทียนเล่นและนั่งดูเทียนเล่นอยู่คนเดียวจนสว่างพระนิสัยในทางไม่ดีก็ทรงมีบ้างเช่นเดียวกับเด็กทั่วไป ดังที่ทรงเคยเล่าว่า เมื่อเยาว์วัยก็ทรงชอบเลี้ยงปลากัด ชนไก่ และบางครั้งก็ทรงหัดดื่มสุรา ดื่มกระแช่ไปตามเพื่อน แต่พระนิสัยในทางนี้มีไม่มากถึงกับจะทำให้กลายเป็นเด็กเกเร

         เมื่อพระชนมายุได้ 8 ขวบ เจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ จึงเริ่มเข้าโรงเรียน คือ โรงเรียนประชาบาลวัดเทวสังฆาราม ซึ่งใช้ศาลาวัดเป็นโรงเรียนจนจบชั้นประถม 3เท่ากับจบชั้นประถมศึกษาในครั้งนั้นหากจะเรียนต่อชั้นมัธยมจะต้องย้ายไปเรียนที่โรงเรียน มัธยมวัดชัยชุมพลชนะสงคราม (วัดใต้) ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำจังหวัด สุดท้ายทรงตัดสินพระทัย เรียนต่อชั้นประถม 4 ซึ่งจะเปิดสอนต่อไปที่โรงเรียนวัดเทวสังฆารามนั้น แล้วก็จะเปิดชั้นประถม 5 ต่อไปด้วย (เทียบเท่า ม.1 และ ม.2 แต่ไม่มีเรียนภาษาอังกฤษ) ในระหว่างเป็นนักเรียน ทรงสมัครเป็นอนุกาชาดและลูกเสือ ทรงสอบได้เป็นลูกเสือเอก ทรงจบการศึกษาชั้นประถม 5 เมื่อ พ.ศ. 2468 พระชนมายุ 12 พรรษาหลังจากจบชั้นประถม 5 แล้ว ทรงรู้สึกว่ามาถึงทางตัน ไม่รู้ว่าจะเรียนอะไรต่อและไม่รู้ว่า จะไปเรียนที่ไหน เพราะขาดผู้นำครอบครัวที่จะเป็นผู้ช่วยคิดช่วยแนะนำตัดสินใจทรงเล่าว่า เมื่อเยาว์วัยทรงมีพระอัธยาศัยค่อนข้างขลาด กลัวต่อคนแปลกหน้า และค่อนข้างจะเป็นคนติดป้าที่อยู่ ใกล้ชิดกันมาแต่ทรงพระเยาว์โดยไม่เคยแยกจากกันเลย จึงทำให้พระองค์ไม่กล้าตัดสิน พระทัยไปเรียนต่อที่อื่น

         เมื่อพี่ชายคือพระพิชัยสงคราม ทราบว่าหลวงพิพิธภักดีอพยพครอบครัวมาอยู่ที่เมืองกาญจนบุรี ก็ได้ชักชวนให้ เข้ารับราชการอีก แต่หลวงพิพิธภักดีไม่สมัครใจ และ ได้ทำนาเลี้ยงชีพต่อมา

         นายน้อย คชวัตร ได้เรียนหนังสือตลอดจนได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ 2 พรรษาอยู่ในสำนัก ของ พระครูสิงคบุรคณาจารย์ (สุด) เจ้าอาวาสวัดเทวสังฆาราม (วัดเหนือ) ซึ่งเป็นวัดใกล้บ้านพระครูสิงคบุรคณาจารย์ นั้น เป็นบุตรคนเล็กของหลวงพิพิธภักดีกับนางจีน เป็นอาคนเล็กของนายน้อย เมื่อลาสิกขาแล้ว นายน้อยได้เข้ารับราชการ เป็นเสมียนสังกัดกระทรวงมหาดไทย ที่เมืองกาญจนบุรี และได้แต่งงานกับนางกิมน้อยในเวลาต่อมา

         นางกิมน้อย มาจากบรรพชนสายญวนและจีน บรรพชนสายญวนนั้นได้อพยพเข้ามา เมืองไทยในสมัยรัชกาลที่ 3 เมื่อครั้งเจ้าพระยาบดินเดชา (สิงห์ ต้นตระกูลสิงหเสนี) ยกทัพ ไปปราบจราจลเมืองญวน ได้ครอบครัวญวนส่งเข้ามาถวาย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้พวกญวนที่นับถือพระพุทธศาสนาไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ กาญจนบุรี เมื่อปลายปี พ.ศ. 2372 เพื่อทำหน้าที่รักษาป้อมเมือง ส่วนพวกญวนที่นับถือศาสนาคริสต์ให้ไป ตั้งบ้านเรือน อยู่กับพวกญวนเข้ารีดที่เมืองสามเสนในกรุงเทพ ฯ 

         บรรพชนสายญวนของนางกิมน้อย เป็นพวกญวนที่เรียกว่า “ญวนครัว”ส่วนบรรพชนสายจีนนั้น ได้โดยสารสำเภามาจากเมืองจีน และได้ไปตั้งถิ่นฐานทำการค้า อยู่ที่กาญจนบุรี

         นางกิมน้อยเป็นบุตรีนายทองคำ (สายญวน) กับนางเฮงเล็ก แซ่ตัน (สายจีน) เกิดที่ ตำบลบ้านเหนือ อำเภอเมือง กาญจนบุรี เมื่อแต่งงานกับนายน้อยแล้ว ได้ใช้ชื่อว่าแดงแก้ว แต่ต่อมาก็กลับไปใช้ชื่อเดิม คือกิมน้อย หรือน้อยตลอดมา

การบรรพชาอุปสมบท

             ในปีรุ่งขึ้นคือ พ.ศ. 2469 น้าชาย 2 คนจะบวชเป็นพระภิกษุที่วัดเทวสังฆาราม พระชนนีและป้าจึงชักชวน เจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ ซึ่งขณะนั้นพระชนมายุย่าง 14 พรรษา ให้บวช เป็นสามเณรแก้บนที่ค้างมาหลายปีแล้วให้เสร็จเสียที เจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ จึงตกลงพระทัย บวชเป็นสามเณรที่วัดเทวสังฆารามในปีนั้น โดยพระครูอดุลยสมณกิจ (ดี พุทฺธโชติ) เจ้าอาวาสวัดเทวสังฆาราม ซึ่งเรียกกันว่า “หลวงพ่อวัดเหนือ” เป็นพระอุปัชณาย์ (สุดท้าย ได้เลื่อนสมณศักดิ์เป็น พระราชาคณะชั้นเทพที่ พระเทพมงคลรังษี) พระครูนิวิฐสมาจาร (เหรียญ สุวณฺณโชติ) เจ้าอาวาสสวัดศรีอุปลาราม ซึ่งเรียกกันว่า “หลวงพ่อวัดหนองบัว” เป็นพระอาจารย์ ให้สรณะและศีลก่อนที่จะทรงบรรพชาเป็นสามเณร เจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ ไม่เคยอยู่วัดมาก่อน เพียงแต่ไปเรียนหนังสือที่วัด จึงไม่ทรงคุ้นเคยกับพระรูปใดในวัด แม้หลวงพ่อวัดเหนือผู้เป็น พระอุปัชณาย์ของพระองค์ก็ไม่ทรงคุ้นเคยมาก่อน ความรู้ความสนใจเกี่ยวกับเรื่องวัด ก็ไม่เคยมีมาก่อนเช่นกัน นอกจากการไปวัดในงานเทศกาล การไปทำบุญที่วัดกับป้า และเป็น เพื่อนป้าไปฟังเทศน์เวลากลางคืนในเทศกาลเข้าพรรษาซึ่งที่วัดเหนือมีเทศน์ทุกคืนตลอด พรรษา ทรงเล่าว่า ถ้าพระเทศน์เรื่องชาดก ก็รู้สึกฟังสนุก เมื่อถึงเวลาเทศน์ก็มักจะเร่งป้าให้รีบไปฟังแต่ถ้าพระเทศน์ธรรมะก็ทรงรู้สึกว่าไม่รู้เรื่อง และเร่งป้าให้กลับบ้าน

             กล่าวได้ว่า เจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ เมื่อทรงพระเยาว์นั้นแทบจะไม่เคยห่างจากอกของป้าเลย ยกเว้นการไปแรมคืนในเวลา เป็นลูกเสือบ้างเท่านั้น ในคืนวันสุดท้ายก่อนที่จะทรงบรรพชาเป็นสามเณรนั้น ป้าพูดว่า “คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายที่จะอยู่ด้วยกัน”ซึ่งก็เป็นความจริง เพราะหลังจากทรงบรรพชาเป็นสามเณรแล้ว ก็ไม่ทรงมีโอกาส กลับไปอยู่ในอ้อมอกของป้าอีกเลยจนกระทั่งป้าเฮง ถึงแก่ กรรมเมื่อ พ.ศ. 2507

             กล่าวได้ว่า ชีวิตพรหมจรรย์ของเจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ นั้นเริ่มต้นจากการบวชแก้บน เมื่อทรงบรรพชาแล้ว ก็ทรง อยู่ในความปกครองของหลวงพ่อวัดเหนือ และทรงเริ่มคุ้นเคย กับหลวงพ่อมากขึ้นเป็นลำดับพรรษาแรกแห่งชีวิตพรหมจรรย์ ณ วัดเทวสังฆาราม เจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ ยังไม่ได้เล่าเรียนอะไร มีแต่ท่อง สามเณรสิกขา (คือข้อ พึงปฏิบัติสำหรับสามเณร) และท่องบททำวัตรสวดมนต์เท่านั้น ส่วนกิจวัตร ก็คือการปฏิบัติรับ ใช้หลวงพ่อ ผู้เป็นพระอุปัชฌาย์ มีสิ่งหนึ่งที่หลวงพ่อสอนในระหว่างที่ทำ อุปัชฌาย์วัตร (คือการปฏิบัติรับ ใช้พระอุปัชฌาย์) ก็คือ การต่อเทศน์ แบบที่เรียกกันว่า ต่อหนังสือค่ำ อันเป็นวิธีการ เรียนการ สอนอย่างหนึ่งในสมัยโบราณกล่าวคือ เมื่อเข้าไปทำ อุปัชฌาย์วัตรในตอนค่ำ มีการบีบนวดเป็นต้น หลวงพ่อ ก็จะอ่าน เทศน์ให้ฟังคืนละตอน แล้วท่องจำตามคำ อ่านของท่าน ทำต่อเนื่องกันไปทุกคืนจนจำได้ทั้งกัณฑ์ กัณฑ์เทศน์ที่หลวงพ่อ ต่อให้คือ เรื่องอริยทรัพย์ 7 ประการ เมื่อทรงจำได้คล่องแล้วหลวงพ่อก็ให้ขึ้นเทศน์ปากเปล่า ให้ญาติโยมฟัง ในโบสถ์คืนวัน พระวันหนึ่งในพรรษานั้น หลังจากเทศน์ให้ญาติโยมฟังแล้ว เจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ ยังทรงบันทึกเทศน์ กัณฑ์นี้ ไว้ในสมุดบันทึกส่วนพระองค์ด้วย        

        ครั้นออกพรรษาแล้ว ก็ยังเพลินอยู่ในชีวิตพรหมจรรย์ หลวงพ่อจึงชักชวนให้ไปเรียนภาษาบาลี คือเรียนพระปริยัติธรรม ที่วัดเสน่หา ในจังหวัดนครปฐม หลวงพ่อบอกว่า “เพื่อว่าต่อไปจะ ได้กลับมาสอนที่วัดเทวสังฆาราม และจะสร้างโรงเรียน พระปริยัติธรรมเตรียมไว้ให้” เมื่อสามเณร และญาติโยมยินยอม หลวงพ่อจึงได้พาเจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ ไปฝากไว้กับพระครูสังวรวินัย (อาจ) เจ้าอาวาสวัดเสน่หา เมือวันที่ 20 มิถุนายนพ.ศ.2470 เจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ จึงได้เริ่มเรียนบาลี ไวยากรณ์ที่วัดเสน่หา ในพรรษาศกนั้น โดยมีพระเปรียญจากวัดมกุฎกษัตริยาราม กรุงเทพ ฯ ไปเป็นอาจารย์สอน เมื่อออกพรรษาแล้วอาจารย์สอนภาษาบาลีที่วัดเสน่หาเห็นแววของเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ว่าจะเจริญก้าวหน้าในทางการศึกษาต่อไป จึงชักชวนให้เจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ ไปอยู่วัดมกุฎกษัตริยาราม เพื่อจักได้เล่าเรียนได้สูงๆ ยิ่งขึ้นไป และอาจารย์ท่านนั้นก็ได้ติดต่อทางวัดมกุฎกษัตริย์ไว้ให้เรียบร้อยแล้วด้วย แต่เมื่อเจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ นำเรื่องนี้ไปปรึกษาหลวงพ่อที่ลายพระหัตถ์ที่ทรงบันทึกเทศน์วัดเหนือหลวงพ่อไม่เห็นด้วยเพราะหลวงพ่อคิดไว้ว่าจะพา เจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ ไปฝากไว้ที่วัด บวรนิเวศวิหารอยู่แล้ว จึงเป็นอันยกเลิกที่จะไปอยู่วัดมกุฎกษัตริย์ เจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ จึงอยู่ จำพรรษาเรียนบาลีต่อไปที่วัดเสน่หาอีกหนึ่งพรรษาพ.ศ.2472 หลังออกพรรษาแล้ว เจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ ได้กลับไปพัก ณ วัดเทวสังฆาราม ชั่วระยะเวลาหนึ่ง เพื่อเตรียมตัวเข้าไปอยู่กรุงเทพ ฯ              

                   วันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ.2472 หลวงพ่อวัดเหนือได้พาเจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ โดยสารรถไฟจาก กาญจนบุรี มากรุงเทพ ฯ แล้วพาไปยังวัดบวรนิเวศวิหาร แล้วนำเจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ ขึ้นเฝ้าถวายตัวต่อสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ซึ่งขณะนั้นทรงดำรงสมณศักดิ์ที่สมเด็จ พระวชิรญาณวงศ์ เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร เพื่ออยู่ศึกษาพระปริยัติธรรมในสำนักวัดบวรนิเวศ วิหารต่อไปสมเด็จพระสังฆราชเจ้า ฯ ได้ทรงพระเมตตารับไว้ และทรงมอบให้อยู่ในความปกครองของพระครูพุทธมนต์ปรีชา (เฉลิม โรจนศิริ ภายหลังลาสิกขา) หลังจากทรงเข้ามาอยู่วัดบวรนิเวศวิหาร ได้ไม่นาน ทรงปฏิบัติตามกฎกติกาของวัดครบถ้วนแล้ว ก็ทรงได้รับประทานนามฉายาจากสมเด็จพระสังฆราช เจ้า ฯ ว่า “สุวฑฺฒโน”ซึ่งมีความหมายว่า “ผู้เจริญดี” เจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ ได้ทรงบันทึกเล่าเหตุการณ์เกี่ยวกับการเข้ามาอยู่วัดบวรนิเวศวิหาร ของพระองค์ไว้อย่างน่าสนใจยิ่ง บันทึกของพระองค์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า พระองค์ประสบ ความสำเร็จในช่วงต้นของชีวิตพรหมจรรย์และการศึกษาก็เพราะทรงได้พระอาจารย์และผู้ปกครองที่ดี พระอาจารย์ของพระองค์ในช่วงนี้ก็คือพระครูพุทธมนต์ปรีชา (เฉลิม) ส่วนผู้ปกครองของพระองค์ ในช่วงนี้ก็คือ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ดังที่ทรงกล่าวถึงท่านทั้งสองไว้ว่า

             พระครูพุทธมนต์ปรีชา เป็นผู้มีกิริยาวาจาอ่อนหวาน ใจแข็ง รู้จักกาละเทศะ รู้จักการควรไม่ควร มีเชาว์ไวไหวพริบ มีคารวะต่อผู้ใหญ่ ไม่ตีตัวเสมอแม้กับผู้ใหญ่ที่คุ้นเคยเป็นกันเอง รู้จักพูดให้ผู้ใหญ่เชื่อ เมื่อถึงคราวต้องเป็นหัวหน้าจัดการงาน วางตนเป็นผู้ใหญ่เต็มที่สมแก่ฐานะมีความสามารถ ในการจัดการงานให้สำเร็จ ฉลาดในการปฏิสันถารในการทำงาน จะไม่ปล่อยให้ศิษย์ทำในสิ่งที่ ไม่แน่ใจว่าศิษย์จะทำได้ดี เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น กับศิษย์ของตน แนะนำสั่งสอน ศิษย์ให้รู้จักวางตัวให้พอเหมาะ ยกย่องศิษย์ให้เป็นที่ปรากฏในหมู่เพื่อนฝูง กล่าวโดยสรุปก็คือ เป็นผู้มีน้ำใจและมีสัปปุริสธรรม ควรเอาเป็นแบบอย่างในทางดีได้

         ส่วนสมเด็จพระสังฆราชเจ้า ฯ นั้น ทรงมีพระเมตตาต่อภิกษุสามเณรทั่วไป โดยเฉพาะสามเณรที่มาจากบ้านนอกดูจะมีพระเมตตาเป็นพิเศษ สามเณรทุกรูปจะต้องถูกจัดเวรอยู่ ปฏิบัติถวายงานสมเด็จพระสังฆราชเจ้า ฯ สับเปลี่ยนกันไปทุกวัน สมเด็จพระสังฆราชเจ้า ฯ ทรงมีวิธีที่จะฝึกสอนสามเณรให้มีความรู้ความฉลาดในเรื่องต่าง ๆ ด้วยพระเมตตาเสมอ เช่น ทรงฝึกให้สามเณรอ่านหนังสือพิมพ์ หากสามเณรรูปใดอ่านไม่คล่องหรือไม่ถูก ก็จะทรงอ่าน ให้ฟังเสียเอง ทรงฝึกให้สามเณรหัดคิด หัดสังเกตและหัดทำสิ่งต่าง ๆ ที่จะเป็นการฝึกความเฉลียวฉลาด หากสามเณรทำผิดหรือทำไม่ถูก พระองค์ก็จะทรงทำให้ดูเป็นตัวอย่าง เจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ ก็ทรงถูกฝึกในลักษณะดังกล่าวนี้อยู่บ่อย ๆ เช่นทรงเล่าว่า ครั้งหนึ่งสมเด็จพระสังฆราชเจ้า ฯ รับสั่งให้เอากระดาษทำลองข้างในขวด แต่เจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ ไม่เข้าพระทัย เอากระดาษไปรองก้นขวด พอทอดพระเนตรเห็นเข้าก็รับสั่งว่า “เณรนี่ก็โง่เหมือนกัน” แล้วก็ทรงทำให้ดู

             จากการแนะนำสั่งสอนและการปฏิบัติพระองค์และปฏิบัติตนให้เห็นเป็นตัวอย่างของ พระอาจารย์ทั้งสองท่านดังกล่าวแล้ว ทำให้เจ้าพระคุณสมเด็จ ฯ รู้จักคิดรู้จักสังเกตและจดจำ เอามาเป็นเยี่ยงอย่างในการพัฒนาพระองค์เอง

              พุทธศักราช 2469 ทรงบรรพชาเป็นสามเณรที่วัดเทวสังฆาราม ( วัดเหนือ ) จังหวัดกาญจนบุรี พระครูอดุลยสมณกิจ ( พุทฺธโชติ ดี เอกฉันท์ ) เจ้าอาวาสวัดเทวสังฆารามเป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูนิวิฐสมาจาร ( สุวณฺณโชติ เหรียญ รัสสุวรรณ ) เจ้าอาวาสวัดศรีอุปลาราม ( วัดหนองบัว ) เป็นพระอาจารย์ให้สรณะและศีล
              พุทธศักราช 2476 พระชนมายุครบ 20 พรรษา ทรงอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ที่วัดเทวสังฆาราม จังหวัดกาญจนบุรี พระครูอดุลยสมณกิจ (พุทฺธโชติ ดี เอกฉันท์) เจ้าอาวาสวัดเทวสังฆาราม เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูนิวิฐสมาจาร (สุวณฺณโชติ เหรียญ รัสสุวรรณ) เจ้าอาวาสวัดศรีอุปลาราม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระปลัด หรุงนามสกุลเซี่ยงฉี เจ้าอาวาสวัดทุ่งสมอ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน พุทธศักราช 2476 อุปสมบทแล้วทรงจำพรรษา ที่วัดเทวสังฆาราม 1 พรรษา 
               เมื่อออกพรรษาแล้ว ในศกเดียวกันได้ทรงทำทัฬหีกรรม ( ญัตติซ้ำ ) เป็นธรรมยุต ที่วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ พุทธศักราช 2476 สมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ ( สุจิตฺโต หม่อมราชวงศ์ ชื่น นภวงศ์ ป.7) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระเทพเมธี ( อิสฺสรณญาโณ จู ทีปรักษพันธุ์ ป.7) เป็นพระกรรมวาจาจารย์